สมาธิเข็มทิศสู่ปัญญา และ การแก้กรรม

สวัสดีครับนี่ผมริชชี่เองนะครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่อาจจะตอบจดหมายช้าหน่อย เพราะว่ามีคนที่ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผมมากมายเหลือเกิน ผมขอตอบรวม ๆ ทุกคนเหมือนกันหมดนะครับ ขอให้รู้ไว้นะครับที่ผมจะได้บอกคือสิ่งที่ผมได้ทำการบอกมาตลอด 10 ปี ผมไม่ได้ไปศึกษาจากตำรา ไม่ได้บวชเรียน เพราะผมศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัว ดังนั้นคำอธิบายของผมก็เป็นเหมือนการบอกเล่าสู่กันฟังภาษาธรรมดาไม่ได้สละสลวย ไม่ได้ไปคัดลอกจากตำราไหนมา ดังนั้น คำบางคำในความหมายของผมอาจไม่ตรงกับความหมายของคำนั้น ๆ ที่เคยมีมาในตำราอื่น หรือตรงกับความรู้ของท่านผู้รู้อื่นๆ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็ได้ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อผมอยู่แล้ว และขอให้มองผมในฐานะที่เป็นคนปกติเหมือนกับทุกท่าน ไม่ได้เป็นผู้วิเศษ เพราะผมก็ไม่ชอบเลยที่ใครจะมามองผมแบบนั้นครับ ไม่ต้องมาศรัทธาอะไรในตัวผมเลยครับ ผมอายุยังน้อยกว่าอีกหลายคนมากครับ ศรัทธาในตัวคุณเองก็พอแล้ว และควรยึดตามคำสอนของพระพุทธองค์ครับ

ต่อไปนี้ขณะที่คุณอ่านพยายามจับใจความสำคัญให้ได้ ย้ำจับให้ได้จริง ๆ นะครับ แล้วเลิกพุ่งเป้ามาหาผม คุณอยู่ที่ไหนก็แก้ปัญหาของคุณเองได้ครับ อย่าเสียเวลาและเสียเงินค่าเดินทางมาหาผม เอาเวลาที่คิดว่าผมจะแก้ไขให้คุณเป็นเวลาที่คุณปฏิบัติเองจะดีกว่า เพราะสิ่งที่ผมจะขอทิ้งไว้ให้ทุกคน คือ หลักและวิธีที่คุณต้องทำเองแล้วคุณจะได้เอง ไม่ใช่ว่าผมต้องเป็นคนมาแก้ให้คุณ ผมเป็นผม คุณเป็นคุณ ผมไม่ใช่คนรับแก้กรรมให้ใคร อย่ามาคาดหวังว่าให้ผมแก้ไขปัญหาให้คุณ คุณต้องแก้เอง กรรมที่ใครก่อผู้นั้นต้องแก้เอง ไม่มีเทพองค์ใดมาฝืนกรรมหรือแก้กรรมให้ใครได้หรอกครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ

ในส่วนของผู้ที่ได้ซื้อหนังสือ SUPER RICHY รายได้ทุกบาทที่ผมได้ในส่วนของผมโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ย้ำส่วนของผมนะครับ ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ทุกท่านได้ทำบุญแน่นอนครับ ผมไม่แตะต้องเงินของใครอยู่แล้ว ไม่อยากรับกรรมของใครมาครับ อุดมการณ์ของผมช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทน และไม่หากินบนความเดือดร้อนของผู้อื่นครับ ผมจะนำเงินที่ผมจะได้ไปทำบุญซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นทางการแพทย์ อาจจะเป็นเครื่องฟอกไต หรือ เครื่องมือที่โรงพยาบาลนั้นกำลังต้องการได้ทำบุญร่วมกันครับ แล้วผมจะบอกทุกท่านอีกครั้งว่าที่ไหนและเป็นเครื่องมืออะไร มนุษย์ทั้งหลายจะได้หายข้องใจในส่วนนี้
(ได้มอบเครื่องฟอกไตให้กับโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จำนวน 2 เครื่องแล้ว)

กลับสู่ทุกสิ่งที่ทุกคนควรจะได้รู้จากประสบการณ์ของผมครับ ทุกคนที่เคยมาหาผมก็จะได้รู้เช่นเดียวกับที่พวกคุณกำลังจะได้รับรู้ต่อไปนี้ครับ ดังนั้นตีความให้ได้แล้วนำไปพิจารณาว่าจะใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาที่คุณมีอยู่หรือไม่ก็ตามครับ การที่ผมออกสื่อต่างๆ มันมีข้อจำกัดในตัวของมัน รายการต่างๆ ที่ผมไปพูดจริง ๆ แล้วมีรายละเอียดมากกว่าที่ได้ชมเยอะมากครับ แต่เนื่องด้วยเวลาที่โดนตัดออกไปจากการตัดต่อของทางรายการ ทำให้บางข้อความที่ต้องการจะสื่ออาจไม่ได้รับรู้เท่าที่ผมพิมพ์

การที่ทุกคนมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็น
1. โรคภัยไข้เจ็บ
2. ครอบครัว, ความรัก
3. การงาน
4. การเงิน
มันอาจจะเกิดจากกรรมหรือว่าอาจจะไม่ใช่กรรมก็ได้นะครับ คุณควรมีสติแยกให้ออกก่อน ผมไม่อยากให้คุณไปโทษว่ามันเกิดจากกรรมเวรเสมอไป ผมรู้ว่าช่วงคนเกิดปัญหามันทุกข์ คิดอะไรไม่ค่อยจะออก เพราะช่วงนั้นสติเราอาจจะขาดไป หลายคนหาวิธีแก้ต่าง ๆ นา ๆ หมดเงินหมดทองไปหลายบาท ยึดถือทางสายอื่นซึ่งไม่ใช่ทางที่หลุดพ้นจากปัญหา ปัญหาเหล่านั้นบางทีคุณก็แก้มันได้ด้วยตนเอง โดยอาศัย

การทำสมาธินะครับเป็นเครื่องมือที่ใช้อโหสิกรรมได้ หลักคือทำยังไงก็ได้ให้สงบแล้วมีสติ สิ่งนี้แหละครับที่จะช่วยได้

 

การทำสมาธิ

สมาธิมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับเราเลือกว่าจะทำวิธีไหน แล้วแต่เราชอบ อาหารคนเรายังชอบกินต่างกันบ้างเหมือนกันบ้าง จะใช้วิธีไหนก็ได้แต่สุดท้ายคุณจะต้องสงบแล้วก็มีสติตลอดครับ บางคนใช้วิธีกำหนดลมหายใจแล้วนิ่ง แต่อีกคนกลับใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล ฟุ้งซ่าน คนเราแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ สมาธิจึงมีหลากหลายยังไงล่ะครับ เอาคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ถ้าผมเปรียบสมาธิเหมือนมือของเรา มือเราแตกออกมาเป็นหลายนิ้ว นิ้วต่างๆ คือวิธีการทำสมาธิ เช่น พุท โธ ยุบหนอ พองหนอ นับลูกประคำ108 เพ่งกษิณ การกำหนดจิตไว้ตามที่ต่าง ๆ ของร่างกาย หรือการสวดมนต์ก็ตาม หรืออาจจะมีวิธีอื่น ๆ อีกมาก ขึ้นอยู่กับจริตแต่ละคน ความชอบ ความถนัด แต่หากเราลองย้อนกลับไปที่จุดกำเนิดของนิ้ว ซึ่งคือมือ

คุณจะพบว่าทุกวิธีทำไปตอนสุดท้ายเหลือแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือทำไปแล้วจิตคุณต้องสงบ และมีสติกำกับตลอด เปรียบเทียบสภาวะนะครับ การที่คนเราเหม่อลอยจิตนั้นสงบจริง แต่มันไปเรื่อย ๆ ตรงนี้สงบแต่ขาดสติ หรือกรณีที่คุณรู้ตัวว่าคุณทำอะไรอยู่แต่จิตคุณฟุ้งซ่าน ส่วนนี้คุณมีสติแต่ไม่สงบ สมาธิในวิธีของผมนั้น คือทำอย่างไรก็ได้ให้คุณจิตสงบ แล้วมีสติ ต้องมี 2 อย่างควบคู่กันเสมอ

คำว่าสงบคือการที่เราไม่คิดอะไรภายในระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเราตั้งใจว่าตลอดเวลา 5 นาทีจะทำสมาธิภายใน 5 นาทีนั้นก็ต้องไม่มีความคิด นั้นคือสงบครับ แต่อาจเป็นการยากเพราะจิตคนเรามันเร็วครับ เช่น การที่เราคิดนู่นคิดนี่ตลอดเวลา เราคิดว่าจะไปที่ไหนจิตมันเดินทางไปก่อนแล้วนะครับ แต่เราไม่ได้ไป ก็ เพราะว่าเรายังไม่ได้ไปไงครับ คนเราฟุ้งซ่านเพราะคิดเยอะ บางคนเมื่อทำสมาธิแล้วฟุ้ง ก็ปล่อยให้คิดตามมันไปเลยครับคิดเรื่องนั้นให้จบไป สมมติคุณมีเรื่องกังวล 3 เรื่องแล้ว คุณคิดเรื่องที่ 1 ก็คิดให้มันจบ ยิ่งเราจะไปห้ามความคิดบางทีขัดกันเองอีกนะครับ มี 3 เรื่องก็คิดให้มันจบทั้ง 3 เรื่อง เมื่อจบแล้วช่วงที่เราไม่มีความคิด ช่วงนี้ล่ะครับที่เรียกว่าสงบ การสงบคือการรวมจิตของเราให้อยู่กับตัวเราให้มากที่สุด เมื่อเกิดช่วงที่ไม่มีความคิดแล้วพยายามรักษาช่วงเวลาแห่งการสงบได้นานเท่าไหร่นั้นสมาธิคุณก็จะยิ่งนานตามนั้นเช่นกัน
จิตสงบเป็นอย่างไร

หลายคนถามผมว่าแล้วนั่งสมาธิไปจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตสงบ แล้วมันมีความรู้สึกอย่างไร ง่าย ๆ นะครับจำความรู้สึกช่วงที่คนเราใกล้จะหลับให้ได้ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เราไม่เกิดความคิดอะไรเลย คนเราที่ทุกวันนี้หลับได้ก็เพราะจิตมันสงบ แต่การหลับไปคือการขาดสติ ร่างกายพร้อมจะพักผ่อนจิตก็พร้อมจะพักตามจึงทำให้ไม่เกิดความคิดในช่วงที่เคลิ้มจะหลับ แต่หลักของสมาธิ คือจิตสงบแต่ต้องมีสติ ต่างกันแค่มีสตินะครับ ดังนั้นวิธีทำสมาธิให้ง่าย หากอยากสงบได้เร็วจำความรู้สึกช่วงจะหลับให้ได้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าคุณนั่งสมาธิไปแล้วเมื่อเกิดความรู้สึกที่ไม่มีความคิด และคล้ายช่วงเคลิ้มหลับแล้ว ตรงนี้คุณสงบ แต่เมื่อสงบแล้วสติต้องตามมาทันทีครับ

 

สติมีไว้ทำไม

สติ คือ อะไร สติคือการที่เรารู้สึกตัวครับ ให้รู้ทั้งภายนอกเราและภายในเราครับ สติภายนอกจะเป็นตัวคอยบอกให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเราขณะนั้น และสติภายในจะเป็นตัวบอกให้รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ขณะนั้น เช่นหากเรานั่งสมาธิแล้วมีรถขับผ่านหน้าบ้าน เราได้ยินเสียงว่ารถผ่าน ได้ยินได้นะครับ แต่อย่าไปสนใจนะครับว่า ทำไมรถถึงผ่าน หรือสนใจว่าใครมาขับรถ เพราะถ้าคุณสนใจจิตคุณไปอยู่ที่รถคันนั้นแล้วนะครับ จิตจะไม่อยู่ที่คุณ หรือนั่งสมาธิอยู่ในบ้านมีคนในบ้านเปิดทีวี เราได้ยินเสียงขณะที่ทำสมาธิว่าทีวีเปิดอยู่ แต่อย่าเอาจิตเราไปสนใจว่าทีวีนั้นเป็นละคร หรือรายการอะไร เพราะถ้าเราสนใจ จิตเราก็คงไปอยู่กับ ละคร หรือรายการแล้วครับ เพราะการทำสมาธินั้นให้จิตอยู่กับตัวคุณ สติภายนอกบอกให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วให้จบแค่นั้น

เมื่อมีสติภายนอกแล้วให้มีสติภายในคือ รู้ตัวเราเองทำอะไรอยู่ขณะนี้ อย่างเช่นว่าเวลาคุณทำสมาธิ คุณก็ต้องรู้ตัวว่าคุณนั่งอยู่หรือทำอะไรอยู่ คือรู้ตัวเองว่าตัวเองทำอะไรอยู่นั่นแหละครับ เมื่อสมาธิคุณสงบได้แล้วและมีสติตามที่บอกแล้วคุณก็จะไม่หลงในสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน หรือบางที่จิตหลุด ก็เพราะว่าเขาอาจจะทำได้ตรงสงบแล้วก็ได้แต่ขาดตรงสติครับ สติจะเป็นตัวคุมไม่ให้เราหลงหรือเขวกับสิ่งที่มันเกิดในภาวะจิตสงบครับ ต่อมาหลายคนงงว่าแล้วต้องกำหนดลมหายใจรึเปล่า

 

กำหนดลมหายใจสำคัญหรือเปล่า

ลมหายใจนะครับวิธีผมอย่าไปกำหนดมันอาจจะง่ายกว่า ทุกวันคุณยังหายใจเข้าออกเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว คุณยังไม่สนใจเลยว่ามันหายใจอย่างไร การกำหนดว่าหายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ บางคนทำได้แต่บางคนอาจจะขัดกันเองเพราะว่าเราไปบังคับให้ร่างกายเราหายใจตามคำพูด ดังนั้นคุณเลือกที่จะกำหนดก็ได้ หรือจะไม่กำหนดก็แล้วแต่นะครับการกำหนดลมหายใจให้เป็นไปตามคำพูดนั้นคือ ให้จิตเราสงบกับคำพูดครับ เมื่อสงบในขณะที่เราหายใจเข้าออกก็ต้องมีสติทั้งภายนอกและภายในอยู่นะครับ คุณก็ยังรับรู้ ได้ยินเสียง และรู้ว่าคุณกำหนดคำพูด คุณก็มีสติทั้งภายในและภายนอกได้เช่นกัน

 

สมาธิควรนั่งท่าทางไหน

ในส่วนของท่านั่งในการทำสมาธิผมว่าแล้วแต่เลยครับ สมาธิจริง ๆ แล้วอยู่ที่จิต ในขณะที่คนเรามีชีวิตอยู่ได้นั้นประกอบไปด้วย 2 อย่าง คือ จิต และร่างกาย บางคนนั่งขัดสมาธินาน ๆ อาจทำให้เกิดเหน็บชาบ้าง ปวดขาบ้าง ทำให้จิตพลอยไม่สงบตาม หรือในกรณีที่คนป่วยลุกขึ้นมานั่งก็แทบไม่ไหว ก็ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิก็ได้ เลือกท่านั่งที่คุณคิดว่าถ้าคุณนั่งแล้วมันจะทำให้จิตคุณสงบตรงนี้น่าจะช่วยให้คุณสงบได้เร็วขึ้น อาจจะพิงผนัง หรือพิงโซฟาก็ได้ หรือนอนทำเลยก็ได้ในกรณีที่ป่วยหนัก ๆ แต่ในกรณีคนปกติจะนอนทำก็ได้นะครับ แต่ว่าอาจจะทำให้คุณหลับไปเลยนะครับ เพราะถ้าจิตคุณสงบแล้วคุณนอนอยู่ขาดสติคุณก็หลับได้ทันทีเลยครับ

 

สมาธิควรนั่งนานแค่ไหน

ในส่วนของเวลาการทำสมาธิ จะทำนานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของแต่ละคนครับ แต่บางทีผมเปรียบให้เห็นนะครับบางคนนั่งสมาธิหลับตาได้นานเป็นชั่วโมง แต่เราไม่รู้หรอกครับว่าในขณะที่หลับตาจิตเขาฟุ้งซ่านรึเปล่า เขาอาจจะนิ่งแค่ 10 นาทีแรก อีก 50 นาทีที่เหลืออาจจะไม่นิ่งเลยก็ได้ ดังนั้นสมาธิไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องทำนานเท่าไหร่ มันอยู่ที่ว่าเรานิ่งนานเท่าไหร่มันจึงเกิดผลครับ สมมติเราตั้งจิตว่าจะทำสมาธิช่วง 2 นาที ตลอด 2 นาทีคุณนิ่งมาก คุณอาจได้ผลมากกว่าคุณนั่งเป็นชั่วโมงแล้วนิ่ง 2 นาทีสุดท้ายก็ได้ ดังนั้นวิธีสมาธิที่ผมปฎิบัติจึงไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย อยู่แค่ที่จิตครับ จิตคุณต้องสงบแล้วมีสติแค่นี้เป็นพอครับ

จิตเราควรอยู่ที่ไหน

สมาธิเป็นการรวมจิตให้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในตอนทำสมาธิก็ให้รวมจิตอยู่กับตัวเราเอง การคิดฟุ้งซ่านมันทำให้จิตเราไปอยู่ตามเรื่องที่คิดเราต้องกลับมาอยู่ที่ตัวเราเองให้มากที่สุด สติทำให้รู้ทั้งตัวเรา และรู้สภาพแวดล้อมภายนอก สมาธิจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติใกล้ตัวทุกคนมาก ๆ แต่เราอาจจะยังสังเกตไม่ชัด ผมยกตัวอย่างนะครับการล้างจานก็ถือเป็นการทำสมาธิเพราะในขณะที่คุณล้างจานจิตคุณก็ต้องตั้งมั่นไปที่จาน ถ้าจิตคุณคิดอย่างอื่น จานใบนั้นอาจจะแตกก็ได้ จิตอยู่ที่จานคือจิตคุณสงบอยู่ที่จานไงครับ แล้วขณะล้างจานคุณก็ยังรู้ว่าภายนอกคุณมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และคุณก็ยังมีสติในตัวคือคุณก็รู้ว่าคุณกำลังล้างจานอยู่

 

สมาธิควรหลับตาหรือเปล่า

สมาธิคุณจะหลับตาหรือลืมตาก็ได้แล้วแต่สะดวก บางคนไม่กล้าหลับตาเพราะมันมืด กลัวว่าจะเห็นนู้นเห็นนี่ ก็ลืมตาทำก็ได้ หาวัตถุมา 1 ชิ้นแล้วมองไปที่วัตถุนั้นจิตคุณก็สงบได้เพราะมีวัตถุเป็นตัวล่อจิตคุณก็พุ่งไปที่วัตถุนั้น แล้วในขณะที่มองก็มีสติรู้ตัวว่ามองอยู่(สติภายใน) ได้ยินเสียงภายนอกขณะที่มองรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น(สติภายนอก) แค่นี้ก็ทำสมาธิได้เช่นกัน

 

ทำสมาธิให้ได้เร็วขึ้นประกอบด้วย

ก่อนที่คุณจะทำสมาธิได้ ผมคิดว่าคุณควรจะเริ่มจากการให้ทาน มีศีล แล้วจึงเข้ามาขั้นสุดท้ายคือ ภาวนา ซึ่งสมาธิอยู่ในขั้นภาวนา การให้ทานนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้ เช่นทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน วิทยาทาน ธรรมทาน และอีกมากมาย ใจต้องหมั่นเป็นผู้ให้ก่อน ต่อจากนั้นควรอยู่ในศีลให้ได้ เอาแค่ศีล 5 ข้อก็พอครับ เมื่อเราอยู่ในศีลได้ก็จะไม่มีทางไปสร้างกรรมใหม่เพิ่มครับ การผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งนั้นมีโอกาสสร้างกรรมได้ทุกเวลาครับ เมื่อคุณทำอย่างที่ผมบอกไว้การทำสมาธิของคุณอาจจะง่ายขึ้นได้ครับ

หลังจากที่คุณทำสมาธิได้ทั้งสงบแล้วมีสติ คุณต้องเอาสมาธิมาประยุกต์ใช้ในการสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรเพื่อขออโหสิกรรมโดยเราเป็นฝ่ายขอให้เจ้ากรรมนายเวรพิจารณาเรา ถ้าเขาพอใจเขาจึงจะเอาสิ่งที่ก่อขึ้นกลับคืนไป ซึ่งมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ว่าแรงอาฆาตลดลงไปรึยัง

 

เจ้ากรรมนายเวร คืออะไร ดูอย่างไร

เจ้ากรรมนายเวรนั้นเกิดขึ้นจากแรงอาฆาตหากเราเคยทำอะไรที่เบียดเบียน สร้างความไม่พอใจแก่อะไรก็ตาม ทั้งที่เป็นคน สัตว์ หรือวิญญาณ แล้วเขาเหล่านั้นได้ตั้งจิตว่าถ้าเจอเราจะต้องทำคืนตรงนี้ก็เกิดกรรมได้แล้วครับ บางคนถามว่าถ้าเราทำไปโดยไม่เจตนาเกิดผลกรรมตามมาไหม ตรงนี้อย่าเอาเราเป็นคนตัดสินครับ เอาคู่กรณีเราเป็นคนตัดสินว่าการกระทำของเราก่อให้เกิดความอาฆาตที่มีต่อเราหรือไม่

เจ้ากรรมนายเวรของเรามีอยู่ 2 แบบทั้งที่มีชีวิตและเป็นจิตวิญญาณ เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตอาจเป็นคนในครอบครัว สามี ภรรยา ลูก หลาน เพื่อนร่วมงาน หรืออื่น ๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต หลักการดูง่าย ๆ ใครก็ตามที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้เรา เบียดเบียนเรา อาจจะใช่หนึ่งในเจ้ากรรมนายเวรเราก็เป็นได้

ส่วนเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นวิญญาณอาจจะยากในการดูต้องทำจิตให้นิ่งคุณถึงจะรู้ได้ด้วยตัวเองครับ โดยการทำสมาธิเป็นการรวมจิต ยิ่งคุณนิ่งมากเท่าไหร่จิตคุณยิ่งรวมได้มากเท่านั้น เมื่อคุณรวมจิตได้ คุณก็จะแยกสิ่งที่มันอยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิดได้ คือจิตกับร่างกายคนเราที่มันผสมกันอยู่ แยกจิตออกมาได้คุณก็สามารถอยู่ที่สภาพเดียวกันกับเจ้ากรรมนายเวรได้แล้ว สภาวะของคนต่างกับวิญญาณตรงที่คนมี 2 ส่วนคือจิตกับร่างกาย แต่วิญญาณมีแต่จิตไม่มีร่างกาย

เมื่อเราทำสมาธิได้สามารถรวมจิตได้แล้วเราก็จะสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นวิญญาณได้ บางคนที่เริ่มทำสมาธิอาจนิ่งน้อยก็รวมจิตได้น้อยสื่อไปเขารับรู้แต่เราสัมผัสไม่ได้ทั้งที่อยู่สภาพเดียวกันคือจิตเหมือนกันแต่ขนาดไม่เท่ากัน แต่ถ้าหากได้ฝึกสมาธิมานานแล้วรวมจิตได้มากก็สามารถสัมผัสได้ซึ่งบางคนสามารถเห็นการกระทำที่ตนทำไว้ในอดีตได้จากการที่เจ้ากรรมนายเวรมาแสดงให้เราเห็นก็มี ซึ่งเมื่อเราสัมผัสได้ก็พยายามสื่อถึงเขาบอกเขาว่าเราได้รับผลกรรมแล้วขอให้เขามาอโหสิกรรมให้แก่เรา

ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตเหมือนเราการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทำได้ง่ายๆ โดยการที่เราเอ่ยปากขออโหสิกรรมสิ่งที่เราเคยทำผิดมาไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน แต่ต้องออกมาจากใจจริงของเราไม่ใช่แกล้งพูด และเมื่อคู่กรณีของเราได้ฟังถ้าเขาเอ่ยปากอโหสิให้ หรือให้อภัยแก่เราจากใจจริงเช่นกัน กรรมที่ไม่ดีก็สามารถยุติได้ ปัญหาที่มีมาก็คลี่คลายได้เพราะต่างฝ่ายต่างยุติ แล้วในอนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำกรรมดีหรือกรรมไม่ดี แต่หากเราไปพูดขออโหสิกรรมแล้วคู่กรณีเราไม่พอใจก็ต้องใช้วิธีกล่าวชื่อของคนนั้นลงไปในใบแก้กรรม ซึ่งเป็นการใช้จิตของเราสื่อถึงจิตลึก ๆ ของคนผู้นั้น จากที่เขามีพฤติกรรมไม่ดีต่อเรา เบียดเบียนเราก็จะเปลี่ยนการกระทำเหล่านั้นไปในทางที่ดีการทำสมาธิแก้กรรมไม่ได้เป็นการลบล้างกรรม แต่เป็นการขอโทษ เราไม่เริ่มขอโทษก่อนก็คงไม่มีใครมายกโทษให้เราแน่นอน เราอย่านึกว่าเราไม่ผิด ทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผลในตัวของมันเองครับ ทำมากน้อยแค่ไหนถึงจะเกิดผลอยู่ที่การปฏิบัติของเราเองและอยู่ที่เจ้ากรรมนายเวรว่าพอใจรึยัง การแก้กรรมของผม

ไม่ใช่การแผ่เมตตาแต่เป็นการกล่าวขอโทษ การที่เราประสบปัญหา ผมเปรียบเหมือนตัวเราเป็นแก้วน้ำนะครับเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานเราตามแรงอาฆาต เปรียบเหมือนทุบแก้วเราแตกไปแล้ว บางคนอาจเจอทุบจนละเอียด บางคนแตกเป็นชิ้นใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำให้เขาอาฆาตมากน้อยแค่ไหน

การที่เราตั้งจิตสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรนั้นเพื่อให้เขากลับมาหาเราและเราก็บอกว่าเราสำนึกแล้ว ซึ่งขอให้เขานำสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไป ก็เหมือนให้เขามาต่อแก้วคืนให้เป็นทรงเดิม ซึ่งจะต่อได้รึเปล่าขึ้นอยู่กับบุญที่เคยทำมาด้วย และสิ่งที่เราประสบอยู่เหมือนแก้วว่าแตกละเอียดไปแล้วแค่ไหน การขออโหสิกรรมควรทำควบคู่ไปกับการทำบุญ บางคนทำแต่บุญตรงนี้คุณได้บุญแต่ว่ากรรมคุณก็มี การที่คนเรามีเจ้ากรรมนายเวรเปรียบเหมือนเราติดหนี้ เรามีเจ้าหนี้ หากเราทำบุญอย่างเดียวก็เหมือนกับเร่งหาเงินแต่ไม่เคยนึกถึงเลยว่ายังติดหนี้ใครไว้บ้าง

ดังนั้นการอโหสิกรรมคือการเจรจากับเจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้จะปล่อยเรารึเปล่า อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้าหนี้ครับ

การทำสมาธิสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรสำหรับผู้ที่เริ่มปฏิบัติควรทำช่วงที่จิตและร่างกายสมบูรณ์ ซึ่งช่วงที่ว่านั้นส่วนมากเป็นช่วงเช้าหรืออยู่ในช่วงกลางวัน ช่วงกลางคืนจิตคนเราอาจจะอ่อนตามร่างกายที่ทำงานมาทั้งวันเพราะคนเราจิตกับร่างกายสัมพันธ์กันเมื่อร่างกายอ่อนเพลียจิตก็อาจจะอ่อนตามกัน ไม่ใช่ว่ากลางคืนวิญญาณจะมีพลังมากกว่าเรา วิญญาณมีพลังได้ทุกเวลาครับ เดี๋ยวจะพากันกลัวเหมือนหนังผีไปอีกแต่อยู่ที่จิตเรามากกว่าว่าสมบูรณ์รึเปล่า ในขณะที่เราสื่อจิตไปหาเจ้ากรรมนายเวรของเราอาจจะมีพวกวิญญาณอื่นเห็นเราทำสมาธิก็คิดว่ามาขอส่วนบุญได้ซึ่ง ผลบุญที่เราจะให้ได้นั้นให้ได้จากการทำทานทุกชนิด แต่ผลบุญที่เกิดจากสมาธิใครทำคนนั้นได้เอง ส่วนการแผ่เมตตาเมื่อเราตั้งจิตถึงเจ้ากรรมนายเวรเขาก็ได้รับความรู้สึกดีจากเรา แต่ไม่ได้เป็นการให้บุญ บารมีจากการปฏิบัติของเรา เราต้องสื่อถึงเขาให้เขาปฏิบัติด้วยตัวเองจะเป็นการดีต่อจิตของเขาเอง

แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิมาพอสมควรแล้วคุณจะทำเวลาไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับจิตของคุณว่าสมบูรณ์พร้อมหรือเปล่า ซึ่งวิธีการขออโหสิกรรมในใบแก้กรรมของผมนั้น สามารถทำต่อจากการที่คุณไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา หรือว่าคุณจะทำเดี่ยว ๆ เลยก็ได้ จะทำสถานที่ใดก็ได้ ในห้องพระ ห้องทำงาน แล้วแต่คุณแต่ควรเลือกสถานที่ซึ่งสงบและสะดวกในการทำสมาธิ แต่ที่สำคัญขอให้จิตคุณสงบก่อนที่จะทำเพื่อให้การขออโหสิกรรมนั้นเกิดผล

 

ทำไมถึงใช้คำว่าแก้กรรม

หลายท่านสงสัยว่ากรรมนั้นแก้ได้จริงหรือ เกิดขึ้นแล้วจะแก้ได้อย่างไร คำว่าแก้ของผมคือการขออโหสิกรรมหรือขอโทษครับ แต่ผมเรียกว่าแก้เพราะมันสั้นและง่ายกว่า มันเป็นเพียงชื่อเรียกที่สมมติขึ้นมาซึ่งอาจทำให้ตีความผิดได้ กรรมเกิดขึ้นแล้วจะแก้ให้มันหายไปคงยาก แต่อาจจะทำให้มันผ่อนหนักเป็นเบาได้ และก็คุณไม่จำเป็นต้องรู้เลยก็ได้ว่าเจ้ากรรมนายเวรคุณเป็นใคร เพราะถ้าให้ผมดูให้ ลองคิดดูนะครับ ผมก็เหนื่อยนะครับ คนเราเกิดมาตั้งไม่รู้กี่ชาติครับ รู้วิธีแก้ดีกว่าครับ บางคนที่รู้ว่าเคยทำกรรมอะไรไว้ก็กล่าวลงไปต่อท้ายคำว่า

โดยเฉพาะ………..….ตามตัวอย่างในใบแก้กรรมข้างล่างได้เลยครับ เช่นชาตินี้คุณนึกออกว่าเคยฆ่าปลาก็กล่าวว่า โดยเฉพาะปลาที่ลูกเคยฆ่า เคยทำแท้งก็กล่าวว่าโดยเฉพาะเด็กที่เราเคยฆ่า

ขั้นตอนก่อนที่คุณจะกล่าวตามใบแก้กรรมหรือการขออโหสิกรรมที่ผมเขียนขึ้นมานั้น
1. ทำสมาธิให้นิ่งก่อน เมื่อรู้สึกว่านิ่งพอควรแล้ว
2. กล่าวตามใบแก้กรรม
3. กล่าวจบแล้วทำสมาธิต่อนานเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

ตัวอักษรที่เป็นตัวหนาจะเป็นประโยคที่ผมได้ดึงมาจากใบแก้กรรมส่วนตัวอักษรปกติจะเป็นการอธิบายให้เข้าใจความหมายมากยิ่งขึ้นครับ ในใบแก้กรรมนั้นจะมีให้กล่าวชื่อของคนที่จะนั่งสมาธิแก้กรรม บางคนได้ทำการเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ก็ขอให้ใช้ชื่อปัจจุบันของคุณได้เลยครับ เพราะได้มีบอกไว้ว่า

ถึงเจ้ากรรมนายเวรของลูก ขณะนี้ลูกชื่อ กล่าวชื่อของคุณไป กำลังทำสมาธิถึงเจ้ากรรมนายเวรอยู่ ซึ่งไม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรของลูกจะเป็น คนใกล้ตัว สัตว์ใกล้ตัว เทวดาใกล้ตัว ตรงนี้คือกล่าวโดยรวม กรณีที่เราไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเราเป็นใคร และคุณสามารถกล่าวเจาะจงโดยบอกชื่อของคนที่คุณคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตของคุณได้ หรือหากคุณมีอาการปวดหลัง เป็นมะเร็งที่ตับ ไม่สบายอะไรก็แล้วแต่ คุณก็สามารถกล่าวได้เลย โดยต่อจากคำว่าโดยเฉพาะ นาย,นาง อะไรก็แล้วแต่ และ เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ลูกมีอาการปวดที่หลัง และ ที่ทำให้ลูกเป็นโรคมะเร็งที่ตับ คุณเป็นโรคอะไรคุณก็กล่าวเจาะจงตามตัวอย่างได้เลย จากนั้นจะมีประโยคที่เราจะสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรว่า เราในปัจจุบันกับชาติที่ผ่านมาถ้าเปรียบก็เป็นคนละคนกัน แต่ผลกรรมยังตามมาอยู่ ตอนนี้ลูกรู้แล้วว่าผลกรรมมีจริง จากการที่ลูกประสบปัญหาต่าง ๆ แต่ละคนเมื่อทำกรรมในอดีตยิ่งหลายชาติมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งยากที่จะรู้ ถ้าเรารู้ว่าทำไปแล้วจะเกิดผลกรรมเช่นปัจจุบันผมเชื่อว่าคุณคงจะไม่ทำหรอก ต่อมาตรงที่ผมให้คุณบอกปัญหาหรือโรคที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ละเอียดที่สุด คุณมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ควรบอกไปให้หมด ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพ ไม่สบายเป็นอะไร ยังไง กล่าวให้ละเอียดถึงอาการที่คุณเป็น ปัญหาเรื่องอะไรกล่าวให้ละเอียด เช่น การงานทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ ครอบครัวเป็นยังไง ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน การที่คุณกล่าวนั้นเป็นการบอกให้เจ้ากรรมนายเวรรู้ว่าตอนนี้คุณได้รับผลกรรมแล้ว จากนั้นก็กล่าวต่อตามใบแก้กรรมจนจบ
ซึ่งในขณะที่คุณกล่าวจะมีประโยคที่ได้บอกวัตถุประสงค์ในการทำสมาธิของเราว่าเราทำเพื่ออะไร การทำสมาธินี้ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อเอาบุญให้กับท่านแต่เป็นการทำเพื่อให้รู้ว่าลูกสำนึกใน บาป บุญ คุณ โทษ กรรมเวรต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้แล้ว และสอนเจ้ากรรมนายเวร ตลอดจนวิญญาณที่ได้รับการสื่อจิตจากเราให้รู้ว่าผลบุญถ้าเขาอยากได้ ให้ทำเอง ปฎิบัติเอง ตรงนี้เป็นผลดีต่อจิตต่าง ๆ ที่เราสื่อไป ช่วยชี้แนะให้เขาได้ไปปฎิบัติเอง เมื่อจบแล้วคุณก็ทำสมาธิให้นิ่งนานเท่าไหร่อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน ช่วงที่ทำสมาธิรอบหลังนี้เป็นช่วงที่ให้เจ้ากรรมนายเวรมาพิจารณาคุณ ส่วนเจ้ากรรมนายเวรจะพอใจคุณหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติของคุณหากพอใจเขาก็จะนำเอาสิ่งที่ตอนนี้กำลังทำให้เราประสบอยู่กลับไป

 

การสื่อจิตถึงเจ้ากรรมนายเวร ขอยกตัวอย่างสมมตินะครับ คุณมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่ 2 ราย รายที่ 1 คุณอาจจะติดหนี้เขาอยู่ 100 บาท การทำสมาธิสื่อครั้งแรกอาจจะชดใช้ได้เพียง 10 บาท เท่ากับว่าคุณต้องสื่ออีก 9 ครั้งจึงจะครบ แต่รายที่ 2 คุณติดหนี้เขาแค่ 50 บาท และการทำครั้งแรกของคุณเท่ากับว่าใช้ไป 25 บาท ดังนั้นรายที่ 2 คุณสื่อถึงเขาแค่ 2 ครั้งปัญหาที่มีอยู่หรือหนี้ที่ติดเขาอยู่ก็หมดไป แต่เจ้ากรรมนายเวรคนเราไม่ได้มีแค่ชุดเดียวครับ เยอะมากขึ้นอยู่ที่ว่าได้เจอแล้วหรือว่ายังไม่เจอ ผมจึงขอแนะนำให้คุณพยายามหาเวลาที่คุณสะดวกสื่อถึงเจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ วันละกี่ครั้งก็ได้ แต่คุณต้องรู้ด้วยว่าสภาวะจิตคุณสมบูรณ์พร้อมหรือไม่

เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วหากคุณคิดว่าวิธีของผมยุ่งยากทำจิตให้สงบลำบาก คุณก็ใช้วิธีอื่น ๆ ได้ เช่น หมั่นทำบุญแล้วนึกถึงเจ้ากรรมนายเวรก็ได้ แต่มันอาจจะเปรียบเทียบเหมือนคุณก็ได้ใช้หนี้แต่ใช้แค่ส่วนที่เป็นดอกเบี้ย ส่วนเงินต้นที่ติดไว้อยู่นั้นผมคิดว่าคุณต้องเพียรพยายามเจรจาต่อรอง ซึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการต่อรองคือสมาธิครับ พยายามทำให้ได้ครับเพราะสมาธิทำไปไม่เสียหลายหรอกครับ มีประโยชน์กับทุกคนมาก ๆ ครับ ในกรณีทำสมาธิเพื่อตนเองคุณไม่ได้ตั้งจิตสื่อถึงใครแค่คุณสงบแล้วมีสติบารมีของคุณก็เกิดแล้วครับ แล้วสิ่งที่จะตามมา หรือผลพวกจากการทำสมาธิจะเป็นอย่างไรอย่าไปหวังครับยิ่งหวังยิ่งไม่เกิดครับ ขอให้คุณตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติธรรมเรียนรู้เรื่องของการเข้าถึงจิตเดิมแท้ให้ได้ก็จะพบแต่ความสุขความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาก็จะเป็นเรื่องปกติไปครับ ขอให้ทุกท่านที่ได้รู้วิธีจากผม พิจารณาสิ่งที่ผมได้บอก และหากจะเลือกเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาผมก็ขอเอาใจช่วยให้ปัญหาที่คุณประสบอยู่นั้นคลี่คลายตามบุญและกรรมที่คุณได้กระทำมาครับอนุโมทนาครับ