บทสัมภาษณ์ SUPER RICHY
จากนิตยสาร LIPS ปักษ์แรก ธันวาคม 2550

เขาเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดี มองภายนอกก็คือคนหนุ่มทั่ว ๆ ไปที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย และฝึกฝนตัวเองให้มีความเชี่ยวชาญบางด้านเพื่อนำไปสู่การประกอบอาชีพที่เขารักในอนาคต

แต่คำเล่าลือของคนเชียงใหม่ที่พูดถึงเขา
“ริชชี่ – พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล” นั้นไม่ธรรมดา เพราะว่าเขามีญาณพิเศษในตัวที่สามารถหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ เนื่องจากเป็นจิตหนึ่ง ของพระนารายณ์ที่แบ่งมาเกิด

เขาสามารถเรียกลมเรียกฝน ไล่วิญญาณ อ่านใจคน หูทิพย์ตาทิพย์ หลับตาเห็นพญานาค มีพลังวิเศษที่สามารถรักษาโรค ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ที่คนธรรมดา ๆ ไม่มี

ผมรู้จักเขาผ่านหนังสือ “SUPER RICHY : It’s not easy to be me อุบัติการณ์มหัศจรรย์” ซึ่งเมื่อได้มานั่งสนทนากับเขาก็เข้าใจได้ในทันที ว่ามันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ต่อการเป็น “ ริชชี่”

ผมชอบหนังสือของเขามาก เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์นั้นสำคัญในระดับหนึ่ง ทำให้เราตระหนักว่า ญาณของริชชี่นั้นเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ “ปัญญาญาณ” ที่ริชชี่แสดงออกมา หรืออาจจะกล่าวว่าองค์นารายณ์บอกกล่าวผ่านริชชี่ เพราะนั่นคือ “กฎแห่งกรรม” ที่เราพยายามทำความเข้าใจมานานนักหนา ผ่านหลักการทางพระพุทธศาสนา แต่เพราะวัฒนธรรมย่อย ๆ ในท้องถิ่นที่รบกวนแก่นแท้แห่งธรรม ทำให้ความเข้าใจหรือการเข้าถึงของเราไขว้เขวได้เสมอคำอธิบายและคำแนะนำของริชชี่ ทำให้แก่นธรรมข้อนี้เข้าถึงได้ง่าย และไม่พร่าเลือนและเป็นสิ่งที่ผู้อ่านพึงทราบนับจากบรรทัดนี้ไป

ริชชี่เป็นลูกคนสุดท้องของบ้าน “อริยทรัพย์กมล” พี่คนโตชื่อโอนลี่เพราะเดิมคุณพ่อคุณแม่ของเขาคิดจะมีลูกคนเดียวแต่ก็นั่นแหละ ในที่สุดคุณพ่อสรเดชกับคุณแม่กรทอง ก็เปิดโอกาสให้บิวตี้กับริชชี่ตามมาจนครบสามใบไม่เถา โดยเฉพาะ บิวตี้นั้น เกิดตามมาเป็นลูกหัวปีท้ายปีกับโอนลี่เลยทีเดียว

ริชชี่เติบโตมาเหมือนเด็กทั่วๆ ไป จะแปลกกว่าเด็กคนอื่น ๆ หน่อยก็ตรงที่ริชชี่ไม่เคยคลาน!

มีผู้ตีความในภายหลังว่า ริชชี่ซึ่งเป็นจิตหนึ่งของพระนารายณ์แบ่งมาเกิดนี้ มีพลังสูงจนสามารถกำหนดร่างกายให้เดินได้โดยไม่ต้องเริ่มจากการคลาน ทั้งเป็นนิมิตหมายว่า ทารกผู้นี้ คือผู้มีจิตเป็นกุศลสูงยิ่งลงมาเกิด เป็นจิตที่หมดอนุสัยของอบายภูมิ คือจะไม่ไปเกิดในเดรัจฉานภูมิ นรกภูมิ เปรตภูมิ และอสูรกายภูมิแล้ว

เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นตอนริชชี่อายุได้ 1 ขวบ ขณะที่โอนลี่กับบิวตี้ซึ่งเป็นพี่น้องหัวปีท้ายปีจึงกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยายกำลังเล่น
ฟันดาบกันอยู่อย่างสนุกสนานโดยที่แม่กำชับให้ทั้งสองดูแลน้องไปพลาง ๆ เพราะต้องไปเตรียมตัวเข้าครัว
คงเพราะความสนุกในการเล่นฟันดาบของพี่ ๆ วัยประมาณ 5-6 ขวบทั้งสองกระมัง ที่เด็กน้อยริชชี่นอนมองตาแป๋ว แล้วจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นเดินหัวเราะร่าไปหาพี่ชายกับพี่สาวจนทั้งสองร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ

เมื่อหม่าม้าวิ่งมาตามเสียงร้องของลูกก็ต้องตกตะลึงตามไปอีกคน ที่เห็นริชชี่เดินได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยคลานหรือฝึกตั้งไข่เลย พวกเขาเล่าว่าท่าเดินของริชชี่ตอนนั้นเหมือนมนุษย์ยุคหิน (เพราะร่างกายยังไม่เคยถูกฝึก แต่จิตมีพลังมาก กำหนดร่างกายให้เดินได้) รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกทำให้คุณแม่ กรทองลืมคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในใจ และโผเข้ากอดริชชี่ที่กำลังเดินส่งยิ้มหวานมาหา

นอกจากเรื่องไม่คลานแล้ว ริชชี่ยังเป็นเด็กที่แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ยอมกินข้าว ! ทุกครั้งที่ป้อนข้าว ริมฝีปากสีแดงเล็ก ๆ คู่นี้จะปิดสนิทไม่ว่าจะหลอกล่อด้วยวิธีใดก็ตาม เขาก็ไม่เคยเปิดปากรับอาหารใด ๆ นอกจากนมเท่านั้น และเป็นอย่างนั้นจนอายุได้ 7-8 ขวบ จนครูประจำชั้น ป.1 ที่โรงเรียนมงฟอร์ตโทรศัพท์มาแจ้งแก่ผู้ปกครองว่า ริชชี่ไม่ยอมกินข้าวเลย และคุณแม่ต้องตอบไปว่า “เขาเป็นแบบนี้แหละค่ะ ดื่มแต่นมอย่างเดียว”

จนริชชี่ขึ้น ป.3 เมื่อได้เห็นข้าวหมกไก่ริชชี่ก็เอ่ยปากบอกกับหม่าม้าเป็นครั้งแรกว่าอยากกิน ! และนั่นเป็น “ข้าวมื้อแรก” ในชีวิตของริชชี่

ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่จะสั่งข้าวหมกไก่ไปให้ที่โรงเรียนทุกเที่ยง แต่ริชชี่ก็จะกินแต่ข้าวเท่านั้น ส่วนไก่เขาจะยกให้เพื่อน ๆ เสมอ
ปัจจุบันริชชี่ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ รวมทั้งเป็ดและไก่ โดยเลือกกินปลาและกุ้งบ้างส่วนใหญ่เขาจะรับประทานอาหารมังสวิรัติเท่านั้น

คุณแม่ของริชชี่ชอบปฎิบัติธรรม วิถีชีวิตเช่นนี้ตกแก่ลูก ๆ ด้วย เด็กชายริชชี่มักจะได้รับการปลูกฝังให้นั่งสมาธิเพื่อให้ชีวิตมีสติ มีความคิดและจิตใจที่ดีตามไปด้วย และหากมีเวลาว่าง ทั้งครอบครัวนี้ก็จะพากันไปนั่งสมาธิปฎิบัติธรรมที่วัดบ้าง แต่เขาชอบนั่งสมาธิที่บ้านมากกว่าที่วัด เพราะมีบรรยากาศที่สงบกว่า

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นกับเขา ทุกครั้งที่ริชชี่นั่งสมาธิตัวเขาจะเอนไปข้างหลังโดยไม่มีสาเหตุ ต่อมาแขนของเขายกขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่ต้นแขนยังแนบอยู่กับลำตัว มือก็โบกไกวไปมาเหมือนจราจร นิ้วก็เริ่มชี้ และทำท่า หมุน ๆ ๆ ๆ ซึ่งคนในครอบครัวคิดว่าเขาเพียงแกล้งล้อเล่น

พ.ศ.2540 ริชชี่อายุ 13 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ต ชั้น ม.2 เช้ามืดวันที่ 16 เมษายน หม่าม้าฝันประหลาดและรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริง ฝันเห็นชาย 2 คนเหาะมาบนท้องฟ้าแต่งตัวแปลก ๆ คนหนึ่งสวมชุดหนังเสือ มีงูพันที่คอ อีกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยงาม ทั้งสองรูปร่างหน้าตาดีมาก ร่างกายสูงใหญ่ ผมยาว นั่งชิดกันลอยมาในอากาศแล้วมาหยุดที่หน้าห้องของหม่าม้า

5 วันหลังจากนั้น หม่าม้าออกไปทำธุระนอกบ้าน ขณะที่ริชชี่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็เกิดฟ้าผ่าต้นตาลอายุกว่า 200 ปีที่ขี้นอยู่หลังบ้านของริชชี่จนเกิดเป็นลำแสงจ้าและเสียงดังสนั่น ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้นไม่มีฝนฟ้าคะนองเลย จากนั้นไฟก็เริ่มลุกไหม้ต้นตาล ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีลักษณะเหมือนพุ่มเงินพุ่มทองแถมมีสะเก็ดไฟไหลตกลงมาเหมือนม่านน้ำตก สวยงามมาก

พลเมืองดีตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งหน่วยดับเพลิง แต่เมื่อรถดับเพลิงมาถึงกลับไม่สามารถดับไฟได้ เพราะไฟอยู่สูงเกินไป จู่ ๆ ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงริชชี่ที่โผล่หน้าออกมาดูด้วยความเซ็งตะโกนว่า “หยุดได้แล้ว!” ทันใดนั้นฝนที่ไม่เคยตั้งเค้ามาก่อนก็ตกลงมาทันที ไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่จึงดับลง

หลังจากนั้น 9 วัน ต้นตาลที่ทุกคนคิดว่าคงตายกลับแตกกิ่งก้านเล็ก ๆ ออกมาใหม่ และวันเดียวกันนั้นเอง ริชชี่ได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหู

ครั้นวันที่ 30 เมษายน ขณะริชชี่นั่งสมาธิ ไม่เพียงจะเกิดอาการเดิม ๆ โดยเฉพาะนิ้วที่ยกชี้ขึ้นและทำท่าหมุน ๆ เสียงประหลาดยังคงก้องอยู่ในหูทั้งวัน จนต้องบ่นให้หม่าม้าฟังว่า “หม่าม้า หูมันก้อง มีเสียงพูดเป็นเสียงใหญ่ๆ มันก้องอยู่ในหูน้อง”

เมื่อหูยังก้องต่อเนื่องมาอีกระยะหนึ่ง ริชชี่ซึ่งเกิดความรำคาญมากแล้วได้ถามขึ้นในใจว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ตอนนั้นเองได้มีเสียงก้องตอบกลับมา
ว่า “เราคือองค์นารายณ์” และเสียงนั้นก็ตอบทุก ๆ คำถามที่ริชชี่มี

ครอบครัวของเขาไม่รู้จักพระนารายณ์มาก่อน เวลานั้นทุกคนรู้สึกกลัวว่าริชชี่จะมีสภาพเหมือนร่างทรงที่พวกเขาเคยเห็น และไม่มีใครอยากให้ลูกชายคนเล็กผู้เป็นแก้วตาดวงใจกลายเป็นร่างทรง

แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะไปรับริชชี่กลับจากโรงเรียน จู่ ๆ ริชชี่ก็บอกกับหม่าม้าว่า ให้ขับรถวนไปที่หน้าวัดแขกหน่อย เมื่อไปถึงก็พบว่าที่วัดมีงานบูชาองค์เทพอยู่พอดี

ภาพของเด็กหนุ่มผมเกรียน ใส่ชุดนักเรียน เสื้อขาว กางเกงน้ำเงิน ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในวัด แล้วขึ้นไปไหว้เทวรูปองค์นารายณ์พร้อมกับเทพองค์อื่น ๆ ด้วยความสงบ ทำให้หม่าม้าเริ่มยอมรับเป็นครั้งแรกว่า สิ่งที่ลูกพยายามจะสื่อสารกับครอบครัวมาโดยตลอดนั้นคืออะไร

ภาพขององค์เทพและพิธีกรรมที่เรียบง่ายภายในวัด กับท่าทีของลูกชาย ทำให้คุณแม่คลายความวิตก และเริ่มเข้าใจในประวัติความเป็นมาขององค์เทพนารายณ์ ซึ่งคนค่อนโลกให้การเคารพบูชามานานหลายพันปี

หลังจากวันนั้น ไม่เพียงแต่ริชชี่จะสามารถระลึกชาติได้เท่านั้น แต่เขายังมีพลังปาฎิหาริย์แสดงออกมาอีกอย่างมากมาย… ซึ่งแน่นอน การแสดง ปาฎิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่านำพาผู้คนจากทุกสารทิศให้ดั้นด้นเดินทางมา เพื่อขอความช่วยเหลือจากริชชี่
นับจากนั้น ชีวิตของเขาไม่เคยง่ายเหมือนแต่ก่อนเลย!!

ริชชี่มาพบเราพร้อมกับคุณแม่ตรงตามเวลานัดหมาย เขาเพิ่งจะเรียนเสร็จ ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ยิ้มของเขาเหมือนเด็ก ๆ และดูเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความรักที่พร้อมจะเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นตลอดเวลา เช่นเดียวกับคุณแม่ ที่ดูสุภาพและกระตือรือร้น

ปัจจุบันริชชี่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่3 คณะการสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะเดินตามพี่ชายกับพี่สาวที่เรียนวิศวะทั้งคู่ และตัวเขาเองก็เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ด้วย แต่เมื่อเรียนไปสักพักแล้วพบว่าไม่ใช่ทางที่ตนเองชอบเพราะเขาพบว่าตนเองชอบงานพิธีกรจึงเทียบโอนหน่วยกิตมา ขณะอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะวิศวะ

“ผมไปประกวดคนพันธุ์เอ และได้รางวัลของภาคเหนือทำให้ได้ไปเห็นเบื้องหลังการถ่ายทำรายการต่าง ๆ บวกกับได้รับการเรียกตัวไปแคสต์งานพิธีกรของเจเอสแอล แม้ตอนนั้นผมจะยังพูดไม่ค่อยเก่ง ทำให้ไม่ผ่าน แต่เขาก็ให้กำลังใจและให้กลับมาฝึก ผมรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าผมชอบงานนี้ จากนั้นก็มาเป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัยบ้าง จึงอยากจะเรียนทางนี้เพื่อฝึกตัวเองให้ดี เพราะว่าชอบจริง ๆ

ทุกวันนี้ริชชี่จึงฝึกฝนตัวเองด้วยการรับงานพิธีกรตามเวทีต่าง ๆ ทั้งในและนอกสถาบัน ทำให้ความคล่องแคล่วในการพูดจาของเขาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ครั้นคนถามและคนตอบต่างก็พร้อมแล้วที่จะคุยกันด้วยเรื่องที่คนอยากรู้เกี่ยวกับตัวริชชี่ ผมจึงเริ่มต้นถามริชชี่อย่างจริงจังว่า ก็ในเมื่อปกติชีวิตก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้วทำไมยังตัดสินใจเผยแพร่ประวัติชีวิตของตัวเองผ่านหนังสือเล่มดังกล่าวอีกเขายิ้มและตอบอย่างฉะฉานว่า “ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่านครับ เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวผมนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังสือ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้อ่าน สิ่งสำคัญอยู่ที่ผมพยายามจะบอกเรื่องหลักการแห่งกรรมและการแก้กรรมให้ทุกคนทราบและนำไปปฎิบัติ โดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องมาพบผมหรือให้ผมช่วยแก้ให้ กรรมของใครก็ของคนนั้น แก้ให้กันไม่ได้”

เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่า นับจากนี้ไป จะสนทนากันเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมและการแก้กรรมจะดีกว่า

ริชชี่เริ่มกล่าวถึงความเข้าใจที่ไขว้เขวของผู้คน เรื่องการทำบุญเพื่อลดบาปเคราะห์ในชีวิตด้วยการถวายสังฆทานหรือพิธีการอื่น ๆ ว่า

“หลายคนก็เข้าใจว่าจะสามารถแก้กรรมได้ด้วยการทำสังฆทานหรือทำบุญตักบาตร มันเป็นความเข้าใจผิด แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย นั่นถือเป็นการสร้างบุญใหม่ แต่ทั่ว ๆ ไปมักเข้าใจว่า เมื่อชีวิตมีปัญหาปุ๊บ ก็ไปทำสังฆทานแล้วปัญหานั้นจะจบไม่ใช่ครับ

อย่างเช่นกรรมเก่าที่เราเคยไปทำในชาติก่อน เราเคยฆ่าคนตาย มาชาตินี้เอาถังสังฆทานไปถวายแล้วจะจบ มันก็ไม่ใช่เรายังไม่เคยทำอะไรที่จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของเรารู้สึกให้อภัยหรืออโหสิกรรมเลย มันเหมือนเรายังมีหนี้ติดค้างกันอยู่ยังไม่ได้ชดใช้
แต่สิ่งที่ผมแนะนำ คือ การทำสมาธิเมื่อจิตเรานิ่งแล้ว เราจะย้อนกลับไปหาเจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่มีแรงอาฆาตแล้วทำให้ชีวิตของเราเกิดปัญหา อาจจะเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเป็นวิญญาณก็ได้ แล้วเราก็ขอโทษเขา อโหสิกรรมต่อกัน ถ้าเขาพอใจ อภัย เขาก็จะดึงแรงอาฆาตกลับไป ปัญหาก็จะคลี่คลายได้ ความติด ๆ ขัด ๆ หรืออาการ เจ็บไข้ได้ป่วยในชีวิตก็จะหายไปได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรและสิ่งที่เราปฏิบัติ เราปฎิบัติสมาธิและพากเพียรที่จะขออโหสิกรรมแค่ไหน จนถึงระดับที่เจ้ากรรมนายเวรเขายอมผ่อนคลายแรงอาฆาตหรือเปล่า

เมื่อถามว่าเราทุกคนจะมีโอกาสรู้ได้มั้ย ว่าเรามีเจ้ากรรมนายเวรอยู่หรือเปล่าริชชี่ตอบว่าเราสามารถรู้ได้ แต่มีเงื่อนไขเล็กน้อย

“มันขึ้นอยู่กับการฝึกสะสมมาด้วย อย่างบางคนที่ผมสอนเขานั่งสมาธิ เขาก็นั่งไม่ได้เลย เพราะจิตเขายังว้าวุ่น ตัวเขาก็ไม่เคยมีพื้นฐานในการรวบรวมสมาธิมาก่อนเลย สมาธินี้ ที่จริงเป็นขั้นตอนสุดท้ายนะครับ เราจะต้องมีพื้นฐานจากจิตใจที่เป็นทาน คือมีจิตใจที่เป็นผู้ให้เสียก่อนให้อะไรก็ได้ บางคนเขาให้ความรู้ก็เป็นวิทยาทาน บางคนให้สังฆทาน ให้เงินขอทานก็ได้ หรือแจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน เหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกฝนที่จะมีใจเป็นผู้ให้

ต่อมาก็ให้ถือศีล เมื่อเราฝึกใจจนเป็นผู้ให้ได้แล้ว ให้เราถือศีลต่อเลย ศีล 5 นี้แหละดีที่สุด ครอบคลุมไปหมดทุกอย่าง และถ้าเราถือศีล 5 ได้อย่างแท้จริง ก็จะไม่เกิดการสร้างกรรมใหม่ จะเหลือแต่กรรมเก่าซึ่งติดตัวมากับทุกคน โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน ฉะนั้นในชาตินี้อย่าสร้างกรรมใหม่เพิ่ม
จากนั้นจึงมาถึงขั้นสมาธิ เมื่อคุณอยู่ในศีลและฝึกใจให้เป็นผู้ให้แล้ว ก็จะปฏิบัติสมาธิได้ดียิ่งขึ้น มันจะไม่มีสิ่งหน่วงเหนี่ยวทางโลกให้จิตฟุ้งซ่าน พอทำสมาธิได้ดีแล้วก็สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายทาง โดยเฉพาะการสื่อสารถึงเจ้ากรรมนายเวร”

ริชชี่บอกว่าสมาธิเป็นของดี เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ แม้ไม่ได้ห่วงเรื่องกรรมเก่าก็ตาม

“สมาธิเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติครับ ไม่เกี่ยวกับว่าเรารู้มั้ยว่าเรามีกรรม เพราะบางคนรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่ปฏิบัติ อย่างนี้กรรมจะยิ่งหนักขึ้น เพราะคู่กรณีหรือเจ้ากรรมนายเวรจะยิ่งโกรธแค้นอาฆาต มันก็เหนี่ยวรั้งกันไว้ทั้งสองฝ่าย เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่มีใครปลดปล่อย มันเหมือนสองฝ่ายถูกผูกติดกันไว้ด้วยกรรม ซึ่งกรรมเวรนี้จะหลุดพ้นได้ ไม่ใช่รอให้เจ้ากรรมนายเวรเขารู้สึกสำนึกเองหรือเอ่ยปากขอโทษเรานะครับ แต่เราต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ ต้องสำนึกผิดให้ได้ แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาจะเป็นฝ่ายพิจารณาเอง ว่าเราสมควรได้รับการให้อภัยหรือยัง”

แล้วทำไมเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ปล่อยเวรปล่อยกรรม หรือระงับความอาฆาตนี้เสียเองละ ผมถาม

“ มันขึ้นอยู่กับจิตของเขาด้วยไงครับ ถ้าจิตเขาดี เขาก็ไม่อาฆาตมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะเวรกรรมก็ไม่ผูกติดต่อกันมา ไม่ต้องตามมาอาฆาต แต่การที่เขาและเรายังผูกติดต่อกันอยู่แสดงว่ามีความอาฆาต จิตของเขายังไม่ได้ฝึกเขาก็ปลดปล่อยตัวเองออกไปจากการผูกติดนี้ไม่ได้ เพราะยังคิดที่จะจองเวรกันอยู่ ”

ริชชี่แนะหลักการสังเกตว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราง่าย ๆ ว่า

“ถ้าเป็นคนเหมือนกัน ให้สังเกตว่าคนไหนที่นำความเดือดร้อนมาให้ หาแต่เรื่องมาให้ หรือคนที่คอยรังควาน แค่เห็นหน้ากันก็รู้สึกครับ แต่ที่พูดนี้บางทีก็เป็นกรรมดี บางทีก็เป็นกรรมร้าย

…แต่ถ้าเป็นวิญญาณแล้ว เราจะเห็นเขาลำบากมาก ต้องเป็นคนที่ฝึกสมาธิ ซึ่งสามารถรวมจิตให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ ปกติจิตไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอกครับ อยู่กับตัวเรานี่แหละ แต่มันแวบไปแวบมาตามความคิดฟุ้งซ่านของเรา สมาธินี่ไม่ใช่อะไรหรอกมันคือการรวมจิตกลับมาอยู่กับตัวเอง ให้เหมือนสภาพของจิตเดิมแท้ แล้วจิตจะละเอียดมาก จะแยกกายแยกจิตออกจากกันได้ มีสภาพเหมือนวิญญาณ ทำให้มองเห็นวิญญาณได้สื่อกันได้ พูดคุยกันรู้เรื่อง คราวนี้ก็ขออโหสิกรรมได้แล้ว

…ส่วนการขออโหสิกรรมกับคนด้วยกัน เราก็แค่เอ่ยปากขออโหสิกรรม แต่ต้องออกมาจากใจจริง ๆ เราต้องรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ จะพูดแบบขอไปทีหรือตัดรำคาญไม่ได้ ทั้งคนที่ขออโหสิกรรมและคนที่อโหสิกรรม

…กรรมมันไม่ใช่อะไรหรอกครับ เป็นความอาฆาตเท่านั้นสิ่งที่เราทำกับคนอื่น ถ้าเขาไม่ถือสาไม่อาฆาตมันก็ไม่เกิดเวรเกิดกรรมต่อกัน แต่ถ้าเขาอาฆาต ผูกจิตว่าถ้าเจอจะต้องเล่นงานให้ได้ อันนี้ถือว่ามีเวรมีกรรมต่อกันแล้ว

…แต่ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ เราก็ต้องกลับมาแก้กรรมด้วยการนั่งสมาธิ แล้วส่งจิตไปถึงเขาขออโหสิกรรมเขาบ่อยๆมันจะไปเหนี่ยวนำให้เขาเปลี่ยนแปลงแรงอาฆาตที่มีได้”

แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวรแล้วละก็ในชีวิตประจำวันก็ยังมีสิ่งที่จะต้องทำเหมือนกัน

“คนที่อยากจะตั้งหลักที่ตัวเอง ไม่อยากมองหรือไปคอยครุ่นคิดว่าตัวเองมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่หรือไม่ อยู่ที่ไหน ก็ให้ตั้งหลักว่า คนเราที่มีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ เราต่างก็มีองค์ประกอบ 2 อย่างในตัวเอง นั่นคือร่างกายกับจิต ต้องหมั่นทำจิตให้คงที่และรักษาร่างกายให้แข็งแรง

…จิตคงที่หมายถึงเราไม่แกว่งไกวไปกับสิ่งที่มากระทบหรือรุมเร้าบางคนซีเรียสมาก เครียดกับ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ จนจิตตก ในเวลาที่จิตเราตก หากร่างกายเราแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรก็จะเล่นงานเราไม่ได้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอด้วยเจ้ากรรมนายเวรที่รอโอกาสเล่นงานก็จะใช้โอกาสนั้นเล่นงานทันที

…คนเรานี้ไม่ใช่ว่าจะเจอเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานเอาง่าย ๆ นะครับ บางทีเขารอโอกาสอยู่นานแล้ว แต่ไม่เคยสบโอกาสเลยที่ร่างกายกับจิตของเราจะตกลงพร้อมกันเมื่อเราอ่อนแอจนเขาพร้อมจะเล่นงานได้เขาจะเล่นงานทันที ผมจึงบอกว่า ถ้าเราไม่รู้หรือไม่ได้สนใจว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราบ้าง เราก็แค่รักษาจิตของเราให้คงที่ รักษาร่างกายให้แข็งแรง เป็นการป้องกันไว้ก่อนทางหนึ่ง”

ริชชี่ยังได้อธิบายถึงการทำกรรมใหม่ โดยเน้นที่กุศลกรรมหรือกรรมดี หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าทำบุญนั้น ไม่สามารถไปหักกลบลบหนี้กรรมที่เคยทำมาได้ แต่จะเพิ่มพูนบารมีและอำนวยความสุขความราบรื่นให้เกิดขึ้น

“บุญกับกรรมมันแยกกันนะครับ เราทำบุญเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ แต่หากกรรมเก่าเรายังไม่ได้แก้บุญนั้นเพิ่มขึ้นแต่กรรมเก่าเท่าเดิมคือยังมีตัวถ่วงอยู่ ทำให้ปัญหายังคงค้างอยู่”

…แต่ไม่ใช่ว่าบุญที่ทำจะไม่เกื้อหนุนเรานะครับ บางทีบุญก็ต้องรอจังหวะที่จะเกื้อหนุนเรา เพราะขณะนั้นกรรมคอยบังอยู่ เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เหมือนตัวเราอยู่ตรงกลางกรรมล้อมเราอยู่ชั้นหนึ่ง ขณะที่บุญก็ล้อมอยู่วงนอกอีกชั้นหนึ่ง ถ้ากรรมไม่เปิดช่องให้ บุญก็เข้ามาช่วยเราไม่ได้ จนกว่าเราจะได้ชดใช้กรรม หรือหากเราแก้กรรมเสียก่อน ก็จะเป็นการเปิดช่องกรรมให้บุญมีช่องที่จะเข้ามาเกื้อหนุนเราได้

…เพราะอย่างนี้หลายคนจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมทำบุญแทบตายแต่ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย ขอยืนยันว่าทำบุญแล้วได้บุญแน่นอน แต่บางโอกาสบุญมาช่วยเราไม่ทันเพราะว่ากรรมมันปิด”

แล้วการที่เจ้ากรรมนายเวรยังจองเวรอาฆาตและจ้องแต่จะเอาคืนกับเรานี้ ถือเป็นกรรมที่เขายังคงวนเวียนทำอยู่หรือเปล่า ไม่เป็นการทำกรรมเพิ่มของเขาหรือ

“ไม่ครับ มันเป็นผลจากกรรมเดิม เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับจากการที่เขาตั้งจิตอาฆาตไว้ เหตุเพราะเราไปทำเขาก่อนแต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวรคนไหนที่เขาไม่ผูกอาฆาต เขาเข้าใจเขาก็ไม่ต้องร่วมติดอยู่ในบ่วงกรรมนี้กับเรา ถ้าเขารู้ด้วยตัวเขาเอง เขาก็จะหลุดไปเอง

…ในบทแก้กรรมที่ผมแนะไว้ในหนังสือ ก็มีการอธิบายบอกกล่าวแก่เจ้ากรรมนายเวรด้วยว่า การทำสมาธินี้ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อนำผลบุญมาสู่ท่าน แต่เป็นการทำเพื่อให้รู้ว่าลูกสำนึก ส่วนผลบุญนั้น ถ้าใครอยากได้จะต้องทำเอง ปฏิบัติเอง ตรงนี้จะเป็นการสอนให้เจ้ากรรมนายเวรที่ยังติดอยู่ในบ่วงกรรมได้รู้ เหมือนเป็นการบอกทางให้แก่เขา สอนให้เขาทำความดี

…ที่จริงเจ้ากรรมนายเวรซึ่งเป็นจิตนี้ เขาปฏิบัติง่ายกว่าเราที่เป็นคนเสียอีก เพราะว่าคนเรายังมีร่างกาย ซึ่งร่างกายมันก็มีความต้องการของมันอยู่ และหากร่างกายเจ็บป่วย จิตก็พลอยป่วยหรือลำบากไปด้วย แต่เขาซึ่งมีแค่จิต สามารถปฏิบัติสมาธิได้ง่ายกว่าเรา ในเวลาที่เราทำสมาธิ เราสามารถชวนเจ้ากรรมนายเวรให้ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับเราได้จะเป็นบุญทั้งสองฝ่ายเลย”

คำกล่าวที่ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง การที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็เพราะยังต้องชดใช้กรรมหรือยังมีกรรมอยู่ จริงเท็จแค่ไหน

“ผมคิดว่าจริง เพราะถ้าจะมาเกิดได้ ต้องมีกรรมดึงดูดให้มาเกิด ไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้นนะครับ สัตว์หรือว่าจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน และบางทีในขณะที่ยังไม่ตาย คนบางคนก็อาจจะกำลังตกนรกอยู่ก็ได้ อย่างคนที่อยู่ในห้องไอซียู เขาอาจจะได้เจอกับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว กำลังทวงบาปทวงบุญกันอยู่กำลังชำระบัญชีกรรมกันอยู่ก็ได้ เพียงแต่เรานี้ไม่เห็น หลายคนจึงป่วยในสภาพที่ไม่รู้สึกตัวแต่ก็ไม่ตายเสียที สำหรับบางคนจึงลงนรกได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย แต่นรกจะแบ่งเป็นขุม ๆ มีกระทะทองแดงหรือมโนภาพอย่างที่เราเคยอธิบายกันมาหรือไม่ ผมก็ยังไม่ได้ไปดูละเอียดขนาดนั้น”
ถ้าเช่นนั้น ยิ่งเกิดหลายชาติเราไม่ยิ่งมีกรรมเพิ่มและเจ้ากรรมนายเวรเพิ่มหรอกหรือผมลองถาม

“ไม่หรอกครับ มันอยู่ที่ว่าคนที่เกิดมาแล้วระลึกถึงคุณค่าของการได้มาเกิดอย่างไร ถ้าเรารู้ว่าการได้มาเกิดนั้น อาจจะเป็นเพราะกรรมดีดึงให้มาเกิด เพื่อเป็นโอกาสที่จะสร้างสมบุญบารมีต่อ เขาก็จะไม่ทำบาปทำกรรมกับใคร จะทำแต่กรรมดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าระลึกไม่ได้หรือหลงผิด ก็จะทำแต่บาปกรรมแล้วไปทบกับบัญชีกรรมเก่าให้กรรมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้เขาก็จะยิ่งลำบาก

…หรือบางคนเกิดมายังไม่ทันจะมีโอกาสได้สร้างกรรมดีเลย เช่น เกิดมาแล้วเป็นเด็กพิการทางสมอง หรือเกิดมาแล้วป่วยตาย นี่เขาก็แค่เกิดมาเพื่อใช้กรรมไม่มีโอกาสได้ทำกรรมดีด้วยตัวเองอย่างนี้ก็ชัดว่าบาปกรรมหน่วงเหนี่ยวมา

…แต่ทั้งนี้ผมอยากจะบอกว่าทุกคนมีทั้งกรรมดีและบาปกรรมเหนี่ยวนำควบคู่กันไปนะครับ ไม่มีใครมีกรรมดีเดี่ยว ๆ หรือบาปกรรมเดี่ยว ๆ หรอก ขึ้นอยู่กับว่ากรรมไหนจะมากกว่ากันเท่านั้น แล้วชีวิตก็จะเอียงไปตามกรรม ในแต่ละช่วงกรรมดีกับบาปกรรมจะผลัดกันกระทำต่อชีวิตของคนเราดังนั้นเราทุกคนจึงมีหน้าที่ต้องแก้กรรมเก่ากับสร้างกุศลกรรมให้เพิ่มพูนขึ้นในชาตินี้ไงครับ
ธรรมเนียมการบอกทางแก่คนใกล้สิ้นใจล่ะ เช่น บอกให้เขาไปดี ไปสู่สุคติ ไปพบพระพุทธเจ้า เป็นต้น จะมีผลต่อผู้ตายหรือชีวิตหลังความตายแค่ไหน

“ผมคิดว่าเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่จะนำไปยังที่ที่ดีขนาดนั้นทันทีเลยก็คงไม่ได้บางคนทั้งชีวิตไม่เคยทำความดีเลย แถมมีเจ้ากรรมนายเวรมาก
ถึงเวลานั้นก็มักจะมีเจ้ากรรมนายเวรรุมล้อม ซึ่งคนธรรมดา ๆ มองไม่เห็น แต่คนใกล้ตายมักจะเห็น เป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องมาทวง ซึ่งสำหรับบางคนที่ไม่เคยแก้กรรมมาก่อน ชีวิตหลังตายน่ากลัวหรือลำบากกว่าตอนอยู่เสียอีก เพราะตัวเองกับเจ้ากรรมนายเวรอยู่ในสภาพของจิตของวิญญาณเหมือนกันแล้ว บางทีเขาเอาคืนหนักมาก บางคนก็ยังมีห่วงติดค้างไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนหรือไปไหนไม่ถูก อย่างนั้นก็มี

…แต่กับคนที่ปฎิบัติธรรมปฎิบัติสมาธิมา การที่ญาติมารุมล้อมแล้วก็บอกทางดีๆให้ อย่างนี้เขาก็อาจจะไปได้ด้วยบุญของเขา แต่ไม่ง่ายเลยที่จะถึงพระพุทธเจ้า

…ผมอยากบอกกับทุกคนว่า อยากได้บุญต้องทำบุญนะบุญบางอย่างตกแก่ตัวเอง บางอย่างอุทิศให้กันได้ อย่างการปฎิบัติสมาธินั้น เป็นบุญที่ตกอยู่กับตัวเอง คนไหนทำผลบุญก็จะเกิดแก่คนนั้นเอง แต่การทำทานนั้น สามารถอุทิศบุญกุศลให้กันได้”
สิ่งที่เราทุกคนควรทราบอีกประการก็คือ เมื่อยังมีชีวิตอยู่เรามีลู่ทางที่จะทำบุญและประพฤติธรรมได้มาก แต่หากตายไปแล้ว กลายเป็นวิญญาณ ช่องทางบางอย่างต้องให้ญาติพี่น้องที่ยังอยู่เป็นคนช่วย

“จากเดิมที่เราไปทำบุญตักบาตร หรือบริจาคทานก็ตามแล้วเราจะตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลของเราให้แก่นายคนนั้น นางคนนี้ ตรงนี้เขาได้รับนะครับ แต่มันไม่เท่ากับที่เขาจะได้ทำเองแต่ว่าเขาตายแล้ว หลายอย่างเขาทำเองไม่ได้ อย่างการให้ทาน วิญญาณจะไปซื้อของมาบริจาคได้อย่างไร มีแค่ดวงจิตจะไปซื้อของมาถวายพระก็ไม่ได้

…ดังนั้นญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่จะไปทำบุญหรือทำทานที่ไหน ให้อธิษฐานจิตเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เอ่ยชื่อไปเลยนะครับ และเจ้ากรรมนายเวรเชิญมาให้หมด ให้มาร่วมกันทำกุศลในครั้งนี้ แล้วเขาจะสามารถทำกุศลผ่านเราได้ เมื่อทำเสร็จแล้วก็ให้ตั้งจิตอนุโมทนาว่าให้เขาเหล่านั้นรับผลบุญที่เราได้ทำด้วย อย่างนี้เขาก็จะได้ทั้งทำบุญและรับบุญ แถมยังส่งบุญอนุโมทนาบุญให้แก่เราอีก เป็นกุศลอย่างดีมาก”

ริชชี่ย้ำหนักแน่นว่า
“ยังไม่ตายทำบุญไปเถอะครับ พอตายแล้วโอกาสที่จะได้ทำต่อนั้นลำบาก”

โดยที่เขาอธิบายเรื่องการทำบุญนี้ว่า

“ทำอะไรก็ได้ครับ ที่ถือเป็นการสละและการให้ เช่น ให้ความรู้ ก็เป็นวิทยาทาน ไม่มีเงินไม่มีทองก็ออกแรงได้ ช่วยเทปูน สร้างวัด หรือพิมพ์หนังสือธรรมแจกเป็นธรรมทาน ซึ่งผมไม่รู้นะครับว่าทำอย่างไหนบุญจะมากกว่า แต่ว่าไม่รู้ก็ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะหลงประเด็นกันไปใหญ่ คือจะมุ่งทำเฉพาะวิธีที่ได้บุญมาก ๆ อย่างนี้ก็กลายเป็นกิเลสที่พอกหนาขึ้นอีก ดังนั้นอย่าสงสัยในบุญ ว่าบางคนบริจาคเป็นร้อยล้านกับเราที่หย่อนใส่ตู้ไปยี่สิบบาทหรือร้อยบาท ใครจะได้บุญมากกว่ากัน ทำบุญตามอัตภาพของเรา ทำด้วยใจที่เบิกบานและบริสุทธิ์”
กระนั้นก็ตามผมอดไม่ได้ที่จะถามริชชี่ว่า ตัวเขานั้นโชคดีที่มีปัญญาญาณอย่างนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ทำให้มีโอกาสสร้างบุญบารมีได้มากและได้ด้วยความเข้าใจอีกต่างหากแต่กับหลายคนที่บัดนี้อายุอาจจะล่วงเลยมาสามสิบปีแล้ว สี่สิบปีแล้วบางคนก็ปาเข้าไปเจ็ดสิบแปดสิบปี เมื่อมารู้เรื่องกรรมและบุญดังที่ริชชี่ช่วยบอกกล่าวนี้ ควรจะจัดการอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง

“ชีวิตคนคนหนึ่งนั้นมีแค่ 3 ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง คืออดีต ปัจจุบัน และอนาคต อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรือทำไปแล้ว ปัจจุบันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุในอดีต และอนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิด ซึ่งจะเกิดอย่างไรนั้น ก็ย่อมจะมีเหตุสืบเนื่องจากปัจจุบันนี้เอง การที่ผมแนะนำให้แต่ละคนแก้กรรมนั้นหมายถึงให้รู้ว่าขณะนี้เราอยู่ตรงกลาง เรากำลังแนะนำให้คุณย้อนกลับไปขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อผู้ที่เราเคยทำผิดไว้ในอดีต แล้วมีความอาฆาตแค้นเคืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
…ขณะเดียวกันก็ทำบุญในปัจจุบัน ลดการทำกรรม ทั้งให้เตรียมตัวรับกรรมที่อาจจะเพิ่งมาทวงในอนาคตอีกก็ได้ คือให้ปฏิบัติดีเสียแต่วันนี้ ขออโหสิกรรมล่วงหน้า ซึ่งเจ้ากรรมนายเวรที่เขารอจังหวะทวงคืนอยู่นั้น เมื่อเขาเห็นว่าเราสำนึกแล้ว แล้วพยายามจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ไปในทางที่ดีทางธรรม แทนที่เขาจะเอาคืนสักร้อย ก็อาจจะแค่สิบ หรือบางกรรมที่ไม่หนักเท่าไหร่ เขาอาจจะอภัยให้เราไปเลย ไม่เอาตัวเขามาผูกพันกับเราแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นอิสระหลุดไปจากการผูกมัดหรือร้อยรัดอยู่กับเราด้วยซึ่งมันเป็นกุศลแก่ทั้งสองฝ่ายเลยครับ”

เมื่อถามว่าบางคนบอกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเดือดร้อนหรือเจ็บแค้นแก่ใครจะถือเป็นบาปไหมริชชี่หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า

“อย่าเอาตัวเราตัดสินสิครับ ให้พิจารณาจากคู่กรณี ไม่อย่างนั้นเราก็บอกว่าไม่เจตนากันทุกคนนั่นแหละ (หัวเราะ) ให้ดูว่าสิ่งที่เราทำนั้น ก่อความทุกข์ ความเดือดร้อน และความอาฆาตแก่ใครหรือเปล่า

…ผมยกตัวอย่างให้เห็นสัก 1 ตัวอย่างว่า สมัยเด็ก ๆ เราอาจจะถูกครูบางคนดุด่าหรือลงโทษ เราผูกใจเจ็บ แต่วันหนึ่งเมื่อเราโตมา พอย้อนกลับไปคิดเราก็เข้าใจได้ว่าทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น ท่านปรารถนาดีนะ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นนี้แหละมันทำให้การผูกอาฆาตหลุดไป แต่กรรมที่จะหน่วงเหนี่ยวกันได้ มันคือกรรมที่ผูกอาฆาตต่อกันไม่เลิก

…ตัวเราเองก็เหมือนกัน ให้นึก ๆ ดูว่าเราอาฆาตพยาบาทใครอยู่บ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็หมายถึงเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขาอยู่ หน้าที่ของเราทุกคนในปัจจุบันคือ การไม่ทำให้ใครอาฆาตและต้องไม่อาฆาตใคร มันจะได้ไม่มีกรรมหน่วงเหนี่ยวต่อกัน”

แต่เราห้ามคนอื่นไม่ให้เขาอาฆาตเราไม่ได้นี่ ผมแย้ง

“ได้ครับ ถ้าเราไม่ผิดศีล เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นเขาเป็นคนช่างอาฆาตพยาบาทโดยตัวเขาเองอยู่ตลอด อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับบารมี ถ้าเรามีบารมีสูงกว่า
แรงอาฆาตของเขาก็ไม่เป็นผล ไม่มีความหมาย แต่ถ้าบารมีต่ำกว่าอย่างนั้นยุ่งแน่”
ริชชี่ขยายความคำว่า “บารมี” ว่าหมายถึงการสร้างกรรมดีและการไม่เบียดเบียนใคร

“คำที่คนสมัยก่อนพูดว่า “คนดีผีคุ้ม” ผมว่ามันหมายถึงบารมีนี่แหละ เมื่อคนเราทำดีคนก็เคารพเราเลื่อมใสเรา เมื่อคนไม่ดีคิดจะทำอะไร ก็เกรงใจ เกรงกลัว… ผมขอพูดสิ่งที่เกิดจากความเข้าใจจากประสบการณ์ของผมหน่อย ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับหนังสือต่าง ๆ ที่เขาเคยสอน ๆ กัน คือ คำว่า “บาป” กับ “กรรม” ของผมไม่เหมือนกันนะครับ สำหรับผม บาปหมายถึงความผิดที่เราทำแล้ว เรารู้ด้วยตนเอง เราวิตกกังวล แต่ยังไม่ทำให้คนอื่นอาฆาต แต่ถ้าเมื่อไหร่เราทำผิดด้วยแล้วทำให้เขาอาฆาตด้วย นี่แหละคือ กรรมแน่นอน”

ริชชี่เล่ากรณีหนึ่งที่เขาเคยเจอให้ฟังว่า

“มีคนคนหนึ่งที่เขาไปช่วยผ่าท้องคลอดให้หมูตัวหนึ่ง ซึ่งมันคลอดเองไม่ไหว พอมันตายไปมันก็อาฆาตว่าทำให้มันเจ็บปวด ที่จริงมันไม่เข้าใจหรอกว่าเขาพยายามช่วยมันกับลูกของมัน ตอนหลังคนคนนี้ไปผ่าตัดไส้ติ่ง แล้วหมอไปลืมไหมเอาไว้ในท้องซึ่งเขาแพ้ ดังนั้นแผลผ่าตัดแทนที่จะหายและปิดมันก็กลายเป็นก้อนเนื้อเหมือนเนื้อที่งอกออกมาตามรอยเย็บแผล และเลือดไหลออกมาตลอด ต้องคอยให้เลือดตลอด พอมาหาผม ผมเห็นหมูมากับเขาด้วย เขาก็เลยนึกได้ว่าเขาเคยทำฟาร์มหมู แล้วก็ผ่าท้องหมูตัวนี้

…การแก้กรรมจึงต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ในใบอธิษฐานแก้กรรมของผมจึงมีตอนหนึ่งให้พูดว่า ชาตินี้กับชาติที่แล้ว เหมือนเป็นคนละคนกันแล้ว แต่ผลกรรมยังตามเราอยู่นี่ก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เจ้ากรรมนายเวรรู้ว่า เราไม่รู้หรอกนะว่าชาติก่อนเราเคยเป็นใคร แล้วทำกรรมไว้มากน้อยแค่ไหนบางคนชีวิตนี้ทำดีสารพัด แต่เจอแต่เรื่องแย่ ๆ เพราะว่ากรรมมันตามมาทวง ผมจึงให้ทุกคนบอกว่าเราจำไม่ได้หรอก เรื่องเมื่อชาติที่แล้วน่ะ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากรรมมีจริง และเรากำลังรับทุกข์จากผลกรรมนั้น”

คุณแม่ของริชชี่ซึ่งนั่งอยู่ด้วยเล่าเสริมว่า มีรายหนึ่งทุกข์ระทมขมขื่นเพราะลูก ลูกนำความทุกข์อย่างสาหัสมาให้ตลอดเวลา เมื่อมาเจอกับริชชี่ ริชชี่ก็บอกให้รู้ว่า เด็กคนนี้เคยตั้งใจจะมาเกิดกับคุณแม่แล้วหนหนึ่ง แต่ตอนนั้นคุณแม่ทำแท้งซึ่งก็เหมือนไม่อยากให้เขาเกิด เขาก็ตั้งจิตอาฆาตว่าจะมาเกิดอีกหน แล้วเขาก็ทำให้คุณแม่ทุกข์ทนอย่างในปัจจุบันนี้เอง

“ที่น่าห่วงคือคนสมัยนี้ทำแท้งกันมาก อย่างจดหมายที่ส่งมาหาผม ส่วนใหญ่ทำแท้งกันทั้งนั้น”

ริชชี่ย้ำว่าจิตที่เป็นจิตของเรา กรรมที่เป็นกรรมของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงแม้เกิดใหม่ จะมีเพียงก็แต่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในแต่ละชาติภพ ตามบุพการี

“นั่นคือคำอธิบายว่า ทำไมเจ้ากรรมนายเวรยังจำเราได้ทั้ง ๆ ที่หน้าตาของเราเปลี่ยนไป ชื่อเสียงเรียงนามก็เปลี่ยนไปเพราะเขาตามจิต จิตมันเป็นดวงเดิม จิตไม่เปลี่ยน บางคนที่ชอบไปเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล เพราะคิดว่าชีวิตจะดีขึ้นเราก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่กับทุกคน บางคนก็ชีวิตเหมือนเดิม บางคนก็แย่กว่าเดิม มาเปลี่ยนที่กรรมดีกว่า

…แต่ในบทแก้กรรมที่ผมเขียนขึ้น ตอนหลังเมื่อผมมาพิจารณา มันมีคำว่า ขณะนี้ลูกชื่อ อยู่ด้วย ก็แปลว่าเปลี่ยนชื่อแล้วไม่เป็นไร หากจะกล่าวบทแก้กรรม ก็เอ่ยชื่อใหม่ของตัวเองไปเลย ซึ่งบทแก้กรรมนี้จะต่างจากการแผ่เมตตานะครับแผ่เมตตาเป็นแค่การแผ่กุศลจิตถึงกัน แต่ยังไม่ได้ขอโทษหรือขออโหสิกรรม ขณะที่บทแก้กรรมเป็นการตั้งจิตถึงเจ้ากรรมนายเวร เพื่อที่จะสื่อให้เขารู้ว่าเรารู้แล้วนะถึงความทุกข์ทรมานอันเกิดจากกรรมของเรา และเราขอให้อโหสิกรรมต่อกัน”

ริชชี่ย้อนกลับมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เขาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดหลักกรรมและการแก้กรรมผ่านหนังสือพ๊อกเก็ตบุ๊กของเขา ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกคนไม่ต้องดั้นด้นมาขอความช่วยเหลือจากเขา เพียงแค่ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติ ก็สามารถคลี่คลายความทุกข์ในชีวิตที่เกิดจากผลกรรมได้ด้วยตัวเอง

“กรรมของเขาเขาต้องแก้เอง จะให้ผมแก้ให้ คู่กรณีคงไม่พอใจและไม่คลายอาฆาตแน่ๆ และหากมีที่ไหนบอกว่ารับแก้กรรมให้ อย่าไปเชื่อ ไม่มีทางแน่นอน ทุกคนต้องแก้ด้วยตัวเอง”

ถ้าอย่างนั้น คนที่มาหาริชชี่ส่วนใหญ่เขาต้องการอะไรกันหรือ…

“เขาอยากรู้กรรมตัวเอง และอีกส่วนหนึ่งอยากให้แก้กรรมให้ด้วย (ยิ้ม) เพราะว่าคนเราสมัยนี้คุ้นเคยต่อความสบายและสำเร็จรูป”

และมีบางทีมาท้าทายหรือทดสอบดูว่า ริชชี่เป็นคนลวงโลกหรือไม่

“ผมจะเฉยๆ กับเขานะครับ เพราะส่วนใหญ่ที่ผมเคยช่วยมา จะช่วยให้ลักษณะวิทยาทานมากกว่า คือพูดคุยเพื่อให้เขารู้โดยอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ก่อนจะสัมผัสเรื่องต่าง ๆในขั้นต่อไปได้ จะต้องเริ่มจากสมาธิก่อน มันเหมือนบันไดบ้านน่ะครับก่อนจะถึงชั้นบนได้ต้องไต่บันไดไปทีละขั้น และให้ปฏิบัติสมาธิอย่างผ่อนคลาย อย่าไปทำด้วยความอยากหรือหวังผลว่าจะได้อะไร เพราะหากเกิดความอยากขึ้นมาปุ๊บ สิ่งที่ควรจะได้ก็จะไม่ได้ในทันที
…หลักของสมาธิคือ “สงบและมีสติ” ส่วนอะไรมันก็จะเกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้และกำหนดสติพิจารณา เพราะมีบางคนนั่งสมาธิแล้วหลง เห็นว่าเทพองค์โน้นมาองค์นี้มา เป็นเพราะเขาขาดสติ บางคนนั่งสมาธิแล้วจิตหลุดไปเลย เพี้ยน! เพราะว่าเขาสงบจริงแต่ขาดสติ

…หลายคนบอกว่านั่งสมาธิเป็นเรื่องที่ต้องมีครูบาอาจารย์ชี้แนะ ใช่ครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไรเลย แต่สำหรับคนที่จับหลักได้แล้ว ครูบาอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีซึ่งหลักง่าย ๆ ก็คือ สงบและมีสติ สงบหมายถึงให้จิตอยู่กับตัวเอง การที่เราแวบไปคิดเรื่องอื่น จิตมันก็ไปแล้ว ไม่อยู่ตรงนี้ที่นี่ จิตของคนเรานี้เดินทางเร็วมากฉะนั้นให้ดึงจิตกลับมาอยู่กับตัวเอง พอสงบปุ๊บ ความรู้สึกมันจะเหมือนช่วงใกล้หลับ เพียงแต่เรามีสติ การหลับคือสงบแต่สติไม่อยู่แล้ว เราจึงหลับไป แต่สมาธินั้นเราสงบ ขณะที่สติก็ยังทำงาน ซึ่งถ้าสงบและมีสติกำกับได้นาน ๆ ในที่สุดจะนำไปสู่ปัญญา”

ริชชี่บอกว่าการทำสมาธินั้นมีคุณต่อชีวิตหลายประการนอกจากเป็นการฝึกจิตฝึกสติ และนำไปสู่ปัญญาแล้ว ยังช่วยลดความโลภ ความโกรธ ความหลงด้วย

“เพราะเมื่อฝึกไปนานๆ จิตที่ถูกฝึกแล้วจะกลับคืนสู่สภาพเดิมของตัวเอง คือมีความรู้แจ้งหรือมีปัญญา ไม่มีความอยาก ไม่มีความหลง”

ริชชี่บอกว่าการทำสมาธิที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับหลักทางศาสนาแต่อย่างใด ฉะนั้น ศาสนิกชนในทุกศาสนาสามารถฝึกจิตของตัวเองให้มีสมาธิได้โดยไม่ขัดกับหลักศาสนาและเอาเข้าจริง ศาสนาต่าง ๆ ก็จะนำพาผู้คนไปยังจุดเดียวกัน เหมือนกับคำว่า “ต้นสายปลายรวม” คือการมีจิตที่ได้รับการฝึกฝนแล้ว มีศีลและมีธรรม

“การที่เรามีศาสนาต่างกัน มีศรัทธาในพระศาสดาคนละองค์กันไม่ใช่ปัญหา มันอยู่ที่จิตของเราเท่านั้นเอง ว่าจิตเราตั้งมั่นกับอะไร แต่ตอนหลังคนจะเน้นพิธีกรรมเสียมาก เน้นวัตถุและเครื่องราง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แต่ท่านช่วยเราไม่ได้ตลอดหรอก เราต้องแก้กรรมของเราด้วยตัวเอง จะหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแก้กรรมให้ไม่มีทาง เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็มีกรรมของท่าน เนื่องจากเป็นจิตเหมือนกัน

…คนจะเป็นเทวดาได้ต้องเป็นคนมาก่อน แต่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงได้เป็นเทพ แต่บางทีคนก็เป็นเทพในสภาพที่ยังเป็นคนได้ ด้วยความดีที่เขาทำด้วยจิตที่ได้รับการฝึก”
ศาสดาที่เรานับถือกันอยู่นี้ มีจริงมั้ย ผมถาม

“มีครับ และท่านก็เคยเป็นคนมาก่อน แล้วปฏิบัติได้ดีกว่าเรา จนบรรลุ เหมือนท่านปฏิบัติจนเป็นด๊อกเตอร์ไปแล้วแต่พวกเรายังอนุบาลกันอยู่เลย (หัวเราะ)”

ผมขออนุญาตถามริชชี่ตรง ๆ ว่า เขารู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

ริชชี่ยิ้ม ก่อนจะตอบว่า “ผมก็รู้สึกแปลกเหมือนกันนะครับมันเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้แบบฝึกหัด ให้ผมได้เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ใช่ให้ผมตูมเดียว แล้วนึกออกปรุโปร่ง อย่างนั้นผมก็คงรับไม่ได้แน่นอน แต่นี่มันผ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ที่ผมได้รับการเรียนรู้จากแบบฝึกหัดและการอธิบาย”

คุณแม่ของริชชี่ ก็ยืนยันว่าสมัยที่ริชชี่ อายุ 13 ปี เขาได้เจอคนไข้ที่มาหาอย่างมีหมวดหมู่มาก ช่วงแรกเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา ๆ ทั่วไป ริชชี่ก็ดูให้และรักษาชนิดรักษาปุ๊บหายปั๊บต่อมาก็เป็นกลุ่มมะเร็ง โดยคุณแม่บอกว่าไม่ใช่แค่การแยกกลุ่มโรคมาเท่านั้น แต่ยังแยกกลุ่มมนุษย์มาด้วยอีกต่างหาก เช่น ช่วงนี้เป็นตำรวจ ก็จะมีแต่ตำรวจ เหล่านี้เป็นต้น

“คนไข้ลิ้นหัวใจคนหนึ่งมาหา ริชชี่เขาหลับตานั่งสมาธิเขาบอกว่าเห็นหัวใจเต้นและลิ้นหัวใจมันเปิดปิดเปิดปิด เขาก็จับ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาถอดกายทิพย์ไปแล้ว จับให้เหมือนกันทั้ง 4 ห้อง แล้วเขาก็ออกจากสมาธิ ยายที่ป่วยที่เหนื่อยหอบอยู่ก็หาย”
ริชชี่เสริมว่า “สมัยนั้นจะใช้พลังช่วยเลย เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องกรรม สักสามปีหลังจากนั้นก็เกิดมีใบแก้กรรมขึ้นมา เพราะว่าคนเราไม่ได้มีแค่กรรมตอนนั้น แก้กันแล้วก็จบเขายังมีกรรมในอนาคตอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจะต้องรู้และแก้ได้ด้วยตนเอง ช่วงนี้จึงเน้นให้คนเข้าใจหลักการเรื่องกรรมและการทำสมาธิ ตั้งจิตถึงเจ้ากรรมนายเวร สร้างกรรมดีเพิ่ม ลดบาปกรรมลง”
ผมถามริชชี่ว่า… สิ่งที่เขาต้องทำอยู่ในทุกวันนี้จะให้เรียกว่าอะไร “หน้าที่” หรือ…?

“มันเป็นสิ่งที่ทำค้างไว้ในอดีตครับ เพราะชาติแรกที่เกิดผมเป็นฤาษีที่ปฏิบัติแล้วแสดงฤทธิ์ไว้เยอะ มีคนอยากทำตามบ้างแต่ก็ไม่ได้สอนเขา เมื่อผมตายไปก็ไปปฏิบัติต่อ พอมาเกิดชาตินี้ก็จะได้มาช่วยคนที่เราสอนค้างไว้ ไม่ใช่ว่าช่วยคนทั้งโลก (หัวเราะ) คงเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกันมา หรือบางคนไม่ได้เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน แต่เจ้ากรรมนายเวรเขารู้ว่าถ้ามาหาผม เขาเองก็จะได้ไปดี ก็จะชักนำให้เกิดโอกาสได้มาเจอหรือบางคนไหว้พระสวดมนต์มานาน เคยอ้อนวอนเทพ ก็มีโอกาสได้มาเจอกัน”

ในการช่วยคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ริชชี่ไม่เคยรับเงิน แม้กระทั้งรายได้ในส่วนของเขาจากหนังสือ เขาก็เก็บไว้ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อจะนำไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาล เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ต่อไป
“ที่จริงผมก็อยากใช้ชีวิตไปตามปกติ ที่ผ่านมาก็ปกติ แต่อาจจะไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างในบางครั้งเท่านั้น ในช่วงหลัง ๆ จึงเน้นการสอนเสียมากกว่า และชอบจะไปสอนด้วย การเป็นวิทยากรแบบมีคนสองร้อยคนสี่ร้อยคน เรียกว่าเหนื่อยครั้งหนึ่งแล้วทำให้คนเข้าใจได้มาก

…ผมไม่อยากให้คนมองผมคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงที่ว่า ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ต้องมาหาผม แต่ขอให้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกเท่านั้น ชีวิตของท่านก็จะดีขึ้นเอง กรรมของท่านต้องได้รับการแก้ไขด้วยตัวท่านเองเท่านั้น และส่วนตัวผมอยากเรียนให้จบ ผมอยากทำงานที่ผมรัก นั่นคืองานพิธีกร อยากเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ครับ”
แล้วริชชี่รู้อนาคตตัวเองมั้ย ผมถาม

“ผมไม่ค่อยได้สนใจจะรู้นะครับ ปล่อยไปตามปกติ ที่จริงแล้วสำหรับผม อดีตก็ไม่ควรรู้ ที่เราต้องการรู้ก็แค่เพียงว่าเราทำผิดไว้กับใครบ้างหรือไม่ รู้แล้วจะได้ไปขออโหสิกรรมกับเขาอนาคตนี่ยิ่งไม่ได้อยากรู้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน จึงใส่ใจกับปัจจุบันมากกว่าครับ”

สิ่งสุดท้ายที่ริชชี่ขอย้ำก็คือ

“การปฏิบัติสมาธินี้ ในเวลาที่เรายังมีชิวิตอยู่ก็ให้ประโยชน์หลายอย่าง ตอนตายก็ได้เปรียบ เพราะคนที่ตอนเป็นคนไม่เคยปฏิบัตินั้นจะเสียเปรียบมาก เนื่องจากเมื่อตายไปแล้วไม่มีร่างให้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนยังมีโอกาส ก็ขอให้ปฏิบัติเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุดครับ”